ตั้งแต่เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างครั้งล่าสุด ราคาน้ำมันก็ได้รับความสนใจจากตลาดลงทุนและผู้คนทั่วโลก แม้ว่ากลุ่ม OPEC+ จะตกลงที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ตลาดยังคงเชื่อว่าอุปทานน้ำมันดิบในระยะสั้นจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการในปัจจุบันได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน นอกจากนี้ นักลงทุนยังเชื่อและคาดว่าจะเห็นความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น เพราะได้แรงหนุนจากการกลับมาทำงานและการผลิตในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น และทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาน้ำมันจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไปในอนาคตได้อีกหรือไม่? แม้ว่าวันนี้ ราคาน้ำมันจะยังอยู่ในตลาดขาขึ้น แต่เราก็ไม่สามารถมองข้ามความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันอาจจะย่อตัวลงมาชั่วคราว
ในการประชุม OPEC+ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ประเทศสมาชิก OPEC+ ตกลงที่จะเพิ่มการผลิตโดยเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็น 648,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากตัวเลขรายเดือนเดิมที่ 432,000 บาร์เรลต่อวันเป็นครั้งแรกในรอบปี ซึ่งหมายความว่า OPEC+ ทราบดีว่าจะมีความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในฤดูร้อนกำลังจะมาถึง ถึงกระนั้น การผลิตที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างถือว่าน้อย ดังที่เห็นได้จากปฏิกิริยาที่ตามมาของนักลงทุนในตลาด ตามทฤษฎีแล้ว การผลิตน้ำมันที่มากขึ้นจะสามารถป้องกันราคาน้ำมันไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นได้อีก
จากมุมมองของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นด้านอุปสงค์หรืออุปทาน การกลับมาทำงานและการผลิตอีกครั้งในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชีย ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การดีดตัวขึ้นของคำสั่งซื้อน้ำมันดิบจากฝั่งเอเชียส่งผลให้ราคาน้ำมันของซาอุดิอาระเบียสูงกว่าที่คาดไว้ บริษัทผู้ผลิตน้ำมันประจำชาติของซาอุดิอาระเบีย อารัมโก (Aramco) จึงได้ปรับขึ้นราคาน้ำมันดิบชนิดเบา สำหรับลูกค้าชาวอาหรับ สำหรับลูกค้าชาวเอเชียนั้นถูกขึ้น 2.10 ดอลลาร์เป็น 6.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมิถุนายน
มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปต่อน้ำมันรัสเซียทำให้เกิดการคว่ำบาตรการส่งน้ำมันในบางมิติ ซึ่งนำไปสู่การห้ามส่งออกน้ำมันของรัสเซียไปยังสหภาพยุโรป ส่งผลให้การนำเข้าน้ำมันของรัสเซียในยุโรปลดลงกว่าสองในสาม ภายในสิ้นปีนี้ 90% การนำเข้าน้ำมันของรัสเซียไปยังสหภาพยุโรปจะถูกแบน และท่อส่งน้ำมัน Friendship Pipeline ทางเหนือ ซึ่งขนส่งน้ำมันดิบจากรัสเซียไปยังประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก จะหยุดส่งน้ำมันไปยังสหภาพยุโรป
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคาดว่าจะใช้เวลา 6-8 เดือนกว่าที่สหภาพยุโรปจะสามารถห้ามนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากทะเลของรัสเซียได้อย่างจริงจัง หลังจากนี้ รัสเซียจะต้องขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นให้กับตลาดอื่น ในขณะที่อุปทานน้ำมันดิบของรัสเซียลดลงอย่างมาก หลายคนคาดว่าการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรปจะลดการส่งออกน้ำมันทั่วโลกลง 20% ความท้าทาย ในระยะสั้นคือจะทำอย่างไรที่จะหาน้ำมันมาเติมช่องว่างที่เกิดจากการลดการผลิตน้ำมันดิบของรัสเซีย ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันอาจปรับตัวสูงขึ้นอีก ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นจะดำเนินต่อไปเพราะตลาดน้ำมันดิบทั่วโลกกำลังพยายามปรับสมดุลของระดับอุปสงค์และอุปทาน
อย่างไรก็ตาม จีนและอินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันดิบของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง พวกเขาอาจเป็นลูกค้าหลักรายใหม่สำหรับการขายน้ำมันดิบของรัสเซีย เมื่อสมดุลแล้ว การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบอาจชะลอตัวลง แต่การคว่ำบาตรของยุโรปที่เข้มงวดขึ้น อาจทำให้ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันดิบในทวีปยุโรปรุนแรงขึ้น
ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนที่มีการใช้พลังงานน้ำมันมากที่สุด อเมริกาอาจเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ หลังจากสต็อกน้ำมันดิบคงคลัง ซึ่งไม่รวมน้ำมันสำรองเชิงกลยุทธ์ ในวันที่ 27 พฤษภาคมลดลงเกินคาด จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังและน้ำมันกลั่นบริสุทธิ์ที่ถูกบันทึกไว้ได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก สะท้อนถึงอุปทานน้ำมันดิบที่ตึงตัวของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ความต้องการภายในประเทศเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการน้ำมันดิบจากภายนอกก็เพิ่มขึ้นด้วย การคว่ำบาตรของยุโรปต่อรัสเซีย ทำให้สหรัฐฯ ต้องกลายมาเป็นผู้ขายน้ำมันดิบและส่งออกไปยังยุโรป และเพราะตอนนี้สหรัฐฯ ถึงขั้นต้องนำเอาน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้ ทำให้การบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำมันดิบคงคลังยากที่จะแก้ไข
ปัญหาที่น่าเป็นห่วงมากกว่านี้คือรัสเซียอาจลดการผลิตน้ำมันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังนั้น ต่อให้ OPEC+ จะเพิ่มโควตาการผลิตน้ำมันอีก ก็อาจไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย นอกจากนี้ สมาชิก OPEC+ จำนวนมากยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการผลิตน้ำมันในปัจจุบันได้เลย ในเดือนเมษายน สมาชิก OPEC+ ทั้ง 23 ปรเทศไม่สามารถผลิตน้ำมันถึงโควตาการผลิตที่ 2.59 ล้านบาร์เรลต่อวันได้ ทำให้ตลาดเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับกำลังการผลิตในอนาคตของกลุ่มโอเปกพลัส จึงสามารถสรุปได้ว่าความกังวลที่มีต่อปัจจัยเหล่านี้อาจผลักดันราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อไป
นอกจากนี้ นักลงทุนควรให้ความสนใจกับการประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเฟดตัดสินใจที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความเป็นไปได้ที่ราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นอีกอาจทำให้เฟดต้องใช้มาตรการบางอย่างเพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพราคาสินค้าในตลาด หากค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะการปรับอัตราดอกเบี้ย อาจทำให้ราคาน้ำมันปรับฐานลงมาได้บ้าง แต่สำหรับตอนนี้ ความต้องการน้ำมันในตลาดมีสูงวก่าซัพพลายน้ำมันที่มี ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีแต่จะปรับตัวขึ้นต่อไป