ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำราคาปิดต่ำลงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนยังคงเชื่อว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงต่อด้วย ยกตัวอย่างเช่นดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวลดลงมาวิ่งอยู่ที่ 30500 จุดโดยประมาณหลังจากพยายามฟื้นตัวติดต่อกันมาสองวัน ถือเป็นลางของตลาดที่พร้อมเข้าสู่แนวโน้มขาลง
กราฟดัชนีดาวโจนส์ 4 ชั่วโมง
ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับการประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันพุธ ในโลกตอนนี้กลายเป็นธีมการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางฯ แน่นอนว่าทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นมาจากตัวตั้งตัวตีอย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ
จากข้อมูลของ Capital Economics “การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพร้อมกันตอนนี้คือสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าจะเป็นธีมการลงทุนไปอีกสักระยะ แต่เราคิดว่าการดำเนินการของธนาคารจะช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาเอาไว้ได้”
ผลกระทบจากการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ คือวิกฤตการณ์พลังงานและแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สัปดาห์นี้เราอาจได้เห็นดัชนีดาวโจนส์ลงมาทดสอบแนวรับที่ 29,650 จุด ประเด็นสำคัญก็คือสัปดาห์นี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% หรือแสดงท่าทีที่จำเป็นต้องลดการทำนโยบายการเงินเชิงรุก ตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงอาจพอจะได้ดีใจบ้าง
ธนาคารไอเอ็นจีกวิเคราะห์ว่า
“โดยปกติ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเงินปอนด์ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกำลังกังวลคือรัฐบาลจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างไร ด้วยความกังวลนี้จะทำให้เงินไหลออกจากสหราชอาณาจักรมากขึ้น สภาพแวดล้อมภายนอกที่ไม่เอื้อให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระจะได้ทำให้ภาครัฐได้รับเงินทุนอย่างไร ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่สเตอร์ลิงจะอ่อนค่า”
“เงินปอนด์เทียบดอลลาร์สามารถวิ่งกลับลงไปที่ 1.135 ได้อย่างง่ายดาย และน่าจะเป็นไปได้ในเดือนนี้ ส่วนกราฟ EUR/GBP ยังคงมีระดับแนวต้านเดิมที่ 0.872 ก่อนที่จะเปิดประตูขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 0.88”
“ในขณะที่ตลาดมีความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินและสิ่งที่ควรจะเป็นเอาไว้ในใจแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดความไม่แน่นอนขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดลงทุนไม่ชอบ เพราะมันสามารถสร้างความวิตกกังวลในหมู่นักลงทุนได้อย่างชัดเจน แม้จะเป็นความจริงว่าไม่มีอะไรสมหวังนักลงทุนได้ไปตลอด แต่ในทำนองเดียวกัน พวกเขาก็ไม่ควรตื่นตระหนกและตอบสนองต่อปฏิกิริยาของตลาดมากเกินไป ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นไปตามนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือไม่” นักวิเคราะห์กล่าว