เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงจากภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่พร้อมใจกันหดตัว การประชุมของกลุ่ม OPEC+ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ได้ข้อสรุปว่าจะลดกำลังการผลิตลงอย่างมีนัยสำคัญได้สร้างผลกระทบต่อพฤติกรรมราคาน้ำมัน แต่แทนที่จะปรับตัวขึ้น เรากลับได้เห็นราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้
กราฟ USOIL รายสัปดาห์
สัปดาห์ที่แล้วเป็นสัปดาห์ที่มีความสำคัญเนื่องจากราคาน้ำมันดิบสามารถปรับตัวขึ้นจากระดับราคาต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขึ้นมาเกือบ $95 ต่อบาร์เรล การปรับตัวลดลงไปยัง $88 ต่อบาร์เรลจึงถูกพิจารณาว่าเป็นเพียงการย่อตัวชั่วคราวเท่านั้น
ความกังวลที่มีต่อเศรษฐกิจโบกเพิ่มมากขึ้นเมื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP โลกในปี 2023 ลงเหลือ 2.7% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.9% และเตือนด้วยว่า “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง”
ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนได้ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าอุปสงค์ความต้องการน้ำมันดิบจะลดลง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง บทความใหม่ในหนังสือพิมพ์ People’s Daily ของจีน ที่สนับสนุนรัฐบาลงระบุด้วยว่านโยบาย “ซีโร่โควิด” ของจีนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและ “ยั่งยืน” และรัฐบาลต้องยึดมั่นในยุทธศาสตร์ดังกล่าวต่อไป
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเทศจีนได้ทำการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ความต้องการพลังงานลดลง จากข้อมูลล่าสุด แนวโน้มการจ้างงานในภาคเอกชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการล็อกดาวน์ดังกล่าว โรงกลั่นของจีนมีการกผลิตน้ำมันออกมาน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 การปิดโรงกลั่นในเดือนกรกฎาคมเพื่อซ่อมบำรุงก็ส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันเช่นกัน
ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่กลุ่ม OPEC+ ตกลงที่จะลดการผลิตลง 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม นี่ถือเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเพราะมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน รัฐมนตรีพลังงานของซาอุดิอาระเบียตั้งข้อสังเกตว่าประเทศสมาชิกบางแห่งยังไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ตามเป้า ในขณะเดียวกัน อินเดียก็ยกระดับราคาให้สูงขึ้นด้วยการเพิ่มความต้องการน้ำมันดิบ เพราะการบริโภคผลิตภัณฑ์น้ำมันในประเทศอินเดียนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 8% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเมื่อรัฐมนตรีน้ำมันไนจีเรียประกาศว่ากลุ่ม OPEC ต้องการให้ราคาน้ำมันดิบวิ่งอยู่ที่ประมาณ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ “เราต้องดำเนินการทุกขั้นตอนเพื่อให้มั่นใจว่าราคาในช่วงนี้จะอยู่ในกรอบราคาประมาณนี้”
การผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 230,000 บาร์เรลต่อวัน ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2.5 ปีที่ 29.89 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังจากการส่งออกน้ำมันดิบในเดือนกันยายนของลิเบียเพิ่มขึ้น 25% ต่อเดือนเป็น 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน การส่งออกน้ำมันที่สูงขึ้นจากลิเบียถือเป็นการสร้างแรงกดดันให้กับราคาน้ำมัน
สัปดาห์นี้ ตลาดลงทุนจะเห็นข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ โดยเฉพาะรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของสหรัฐอเมริกาในวันพุธ ข้อมูลดังกล่าวจะถูกใช้เป็นแนวทางสำหรับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในอนาคตต่อไป ในวันพฤหัสบดี เราจะได้ทราบข้อมูลอัตราเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดไว้อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อราคาน้ำมันดิบ