ราชาแห่งสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามตลาดหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงก็ยังคงมีความเสี่ยงจากการตัดสินใจแทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลางฯ นั่นจึงทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะกลับเข้ามาในตลาดมากนัก
กราฟบิทคอยน์รายสัปดาห์
ในที่สุดราคาบิทคอยน์ก็สามารถวิ่งอยู่เหนือระดับ 19,000 ดอลลาร์ ซึ่งเคยเป็นจุดต่ำของกราฟรายสัปดาห์ ราคาปัจจุบันของบิทคอยน์นั้นอยู่ที่ 20,700 เทียบดอลลาร์สหรัฐ และสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกตามก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น
แนวต้านแรกสำหรับ BTC นั้นอยู่ที่จุดสูงสุด $22,000 ในเดือนกันยายน หากหลุดจากตรงนั้นไปคือระดับแนวต้านที่ $25,000
BTC กำลังปรับตัวขึ้นพร้อมกับตลาดหุ้นหลังจากตัวบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ต้องการชี้ให้เห็นว่านโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของเฟดอาจต้องสิ้นสุดลงในไม่ช้า
สัปดาห์นี้จะมีการประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 75 bps อย่างไรก็ตาม การขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้อาจทำให้ตลาดหุ้นและบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นได้ เพราะตลาดจะคิดว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% และจะไม่มีอีกแล้วสำหรับการประชุมในเดือนธันวาคม
เหตุการณ์สำคัญสำหรับการประชุมอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นงานแถลงข่าวของประธานเฟดนายเจอโรม พาวเวลล์หลังจากการประชุม สำนักข่าวบลูมเบิร์กวิเคราะห์ถึงความสำคัญนี้ว่า
“สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่าพาวเวลล์พยายามจะบอกว่าตลาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงได้สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ และเฟดมีตัวเลขจุดสูงสุดของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่คิดเอาไว้ในใจอยู่ที่เท่าไหร่ พาวเวลล์อาจไม่พูดตัวเลขนี้ออกมาตรงๆ แต่ข้อความที่บอกออกมาหากเป็นลดขนาดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็แปลว่าท่าทีของเฟดที่มีต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มลดความรุนแรงลงแล้ว”
ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนใจลดขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลงฉับพลัน เพราะก่อนการประชุมจะมีการรายงานตัวเลขดัชนีการผลิตจาก ISM ซึ่งตัวเลขดังกล่าวในเดือนตุลาคมอาจลดลงไปที่ 50 จุด ระดับ 50 นี้ถือเป็นเส้นแบ่งแดน และเป็นกุญแจสำคัญที่วัดระหว่างการขยายตัวและการหดตัว
ขาขึ้นในตลาดปัจจุบันอาจช่วยบรรเทาความกลัวออกไปจากตลาดไปได้บ้าง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในยูเครนยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ เพราะถ้าสถานการณ์แย่ลง ก็มีโอกาสทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพร้อมที่จะแข็งค่าในฐานะสกุลเงินสำรองปลอดภัยได้ทุกเมื่อ