สัปดาห์นี้มีการเปิดเผยข้อมูล CPI ของสหรัฐฯ ที่ 9.1% ซึ่งตัวเลขที่ได้นั้นอยู่เหนือความคาดหมายของตลาดที่ตั้งไว้ที่ 8.8% ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นได้เป็นแรงหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และก็ทำให้ตลาดทองคำตกอยู่ในที่นั่งลำบากเป็นอย่างมาก และจากสถานการณ์ปัจจุบันราคาทองคำยังคงร่วงลงต่อเนื่องและราคาได้ลดลงต่ำกว่า 1,750 ดอลลาร์ ตลาดเต็มไปด้วยข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนการประชุมของเฟดในปลายเดือน เมื่อพิจารณาถึงแรงกดดันอย่างต่อเนื่องต่อราคาทองคำในระยะสั้นแล้ว ยังไม่แน่นอนว่าเราอาจจะเห็นตลาดทองคำกลับมาทำขาขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้หรือไม่
ตลาดทองคำยังคงอยู่ในตลาดหมีเนื่องจากราคาทองคำอยู่ในแนวโน้มขาลง และการเปิดเผยข้อมูล CPI ที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นทำให้การเคลื่อนไหวดิ่งลงรุนแรงมากขึ้น ตลาดยังไม่เอื้อต่อตำแหน่งการถือครองทองคำระยะยาว เพราะเมื่อราคาทองคำตกลงต่ำกว่าระดับแนวรับที่สำคัญที่ 1,720 ดอลลาร์ นักลงทุนฝั่งขาลงจะมีโอกาสตั้งเป้าหมายเข้าทดสอบที่ 1,710 ดอลลาร์และระดับแนวสำคัญที่ 1,700 ดอลลาร์
ราคาทองคำผันผวนตั้งแต่เริ่มครึ่งหลังของปีนี้ และความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพท์ปลอดภัยยังคงมีอยู่ แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นเวลาของนักลงทุนฝั่งขาลงในระยะสั้นแต่สัญญาณของการกลับตัวในระยะกลางและระยะยาวอาจจะเกิดขึ้นได้ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นทั่วประเทศจึงมีความเป็นไปได้ของธนาคารกลางที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ที่หลายประเทศจะตกอยู่ในภาวะถดถอย ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างจริงจังที่ 75 จุดพื้นฐานหรือ 100 จุดพื้นฐานต่อไป ซึ่งถ้าหากเศรษฐกิจไม่สามารถทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงและมีแนวโน้มของหุ้นที่ปรับตัวลดลงซึ่งทำให้ตลาดมีความเสี่ยงสูงขึ้น นั่นหมายถึงว่าราคาทองคำมีโอกาสฟื้นตัวได้
นอกจากนี้ เราต้องตระหนักว่าการคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตกต่อรัสเซียมีผลต่อตลาดทองคำเช่นกัน ในการประชุมสุดยอด G7 ครั้งล่าสุด สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา และอีกสี่ประเทศประกาศคว่ำบาตรรัสเซียครั้งล่าสุด ซึ่งก็คือการกระทำร่วมกันในการห้ามนำเข้าทองคำที่ขุดใหม่หรือทองคำบริสุทธิ์จากรัสเซีย โดยประเทศสมาชิก G7 ทั้งหมดจะประกาศการดำเนินการคว่ำบาตรอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้
รัสเซียเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับสองของโลก คิดเป็นประมาณ 10% ของการผลิตทั่วโลก ตลาดกังวลว่าการห้ามนำเข้าจะทำให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้น แต่การห้ามนำเข้ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากทองคำสำรองในปัจจุบันที่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ถือครองยังอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผลผลิตส่วนเกินได้ผลักดันให้รัฐบาลเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้คือแรงกดดันมหาศาลต่อทองคำโดยการจำกัดการส่งออกของประเทศ หากยุโรปห้ามนำเข้าทองคำรัสเซีย รัสเซียจะแสวงหาผู้ซื้อทองคำรายใหม่ โดยเฉพาะประเทศในเอเชีย เช่น อินเดีย
โดยรวมแล้ว ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นที่นิยมสำหรับกองทุนสินทรัพย์ปลอดภัยภายใต้การคาดการณ์ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และยังส่งผลให้ราคาทองคำระยะสั้นยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนทองคำควรให้ความสำคัญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคและข้อมูลการจ้างงานในหลายประเทศเริ่มอ่อนตัวลง หลายคนกำลังรอจุดเปลี่ยนในการเปิดเผยข้อมูล CPI ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจุดเปลี่ยนของดัชนีค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ
คาดว่าตลาดทองคำจะผันผวนมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายรัดเข็มขัดของประเทศต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความต้องการทองคำจะยังไม่ลดลงเนื่องจากเงินเฟ้อและความเสี่ยงสูง เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะสั้น เราจึงคาดว่าปัจจัยเสี่ยงจะยังคงหนุนราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องทำให้ความกังวลของตลาดเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจเลวร้ายลง และจะเพิ่มความเสี่ยงด้านลบของตลาดหุ้น โดยตลาดหุ้นที่ซบเซาจะเพิ่มความน่าดึงดูดใจของทองคำสำหรับนักลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย
Mike McGlone นักยุทธศาสตร์อาวุโสด้านสินค้าโภคภัณฑ์ที่บลูมเบิร์กและอินเทลลิเจนซ์ (Intelligence) ได้ให้ความเห็นว่าเมื่อตลาดเห็นจุดสิ้นสุดของวงจรขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดแล้ว ราคาทองคำอาจทะลุระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูล CPI ที่เพิ่งเผยแพร่โดยสหรัฐอเมริกา อัตราเงินเฟ้อน่าจะถึงจุดสูงสุดในเดือนมิถุนายน ดังนั้นหากข้อมูลตัวเลข CPI ค่อยๆ ปรับลดลง ก็มีแนวโน้มมากขึ้นที่เฟดจะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งอาจจะนำโอกาสใหม่ ๆ สู่ตลาดทองคำ
