ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสการลงทุนในกองทุน ETF เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ ETF สามารถดึงดูดความสนใจของนักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะ ETF ในตลาดเกิดใหม่ อัตราการเติบโตของประเทศเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นผลตอบแทนให้นักลงทุนได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหมายถึงการรับความเสี่ยง โดยทั่วไป หุ้นในตลาดเกิดใหม่มักมีความผันผวนและเสี่ยงที่จะขึ้นลงเร็วเพราะปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงิน และอื่นๆ
ETF ของหุ้นสหรัฐนั้นเติบโต และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยเสถียรภาพภายในประเทศ เป็นผลให้นักลงทุนทั่วโลก (โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย) ก็ชื่นชอบที่จะลงทุนในตลาดสหรัฐ วันนี้ เราจะเน้นที่ลักษณะหุ้น ETF ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงตัวเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบดีในปัจจุบัน เราหวังว่าบทความนี้จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่นักลงทุนที่เพิ่งเริ่มลงทุนใน ETF
ETF (Exchange-Traded index Fund) หรือที่ภาษาไทยสามารถแปลได้ว่า “กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์” เป็นกองทุนที่ติดตามหุ้นกลุ่มเฉพาะ ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐอเมริกา (SFC) และทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ขั้นตอนการซื้อและขายและต้นทุนของ ETF นั้นคล้ายคลึงกับของหุ้นสามัญ ยกเว้นว่าแทนที่จะซื้อหุ้นเดี่ยว คุณจะซื้อหุ้นที่ถือโดยกองทุนได้เป็นกลุ่ม หมายความว่าการซื้อ ETF หนึ่งตัวจะทำให้คุณสามารถเข้าถึงหุ้นหลายตัวในรูปแบบของกองทุนได้ ดังนั้นการซื้อกองทุน ETF จึงเทียบเท่ากับการซื้อหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีทั้งหมด
ข้อดีของ ETF ของหุ้นสหรัฐประการแรกนั้นค่อนข้างชัดเจน กองทุน ETF มีความหลากหลาย มีหุ้นของบริษัทในหลายๆ ขนาดให้เลือก ตลาด ETF มีส่วนกับการเติบโตของตลาดลงทุนสหรัฐฯ อย่างไม่น่าเชื่อ ข้อมูลปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าจำนวน ETF ในสหรัฐอเมริกามีมากเกิน 2,000 และทรัพย์สินที่ถือโดยกองทุน ETF รวมแล้วทั้งหมดเกิน 6.25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ETF เป้นกองทุนที่มีให้เลือกทั้งในตลาดหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมี ETF พิเศษ เช่น ETF ที่แปรผันตลาดตลาดฟิวเจอร์สและตลาดเลเวอเรจ
ประการที่สอง กองทุน ETF มีความเสถียรมาก เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยและผู้เริ่มต้น ตามรายงานประจำปีเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรม ETF ที่เผยแพร่โดยตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น อัตราการเติบโตประจำปีโดยเฉลี่ยของ ETF สหรัฐอเมริกาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 18.4% นอกจากนี้ ETF ยังมีคุณลักษณะในการกระจายความเสี่ยง เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลางและระยะยาว นักลงทุนสามารถถือไว้เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนถาวรได้เป็นเวลานาน นักลงทุนหนึ่งคนสามารถถือ ETF ได้หลายตัวพร้อมกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้ดีขึ้น หากเป้นการลงทุนกับ ETF ในสหรัฐอเมริกา จะมีความโปร่งใสสูงมาก การลงทุนกับราคาแบบเรียลไทม์จึงสามารถทำได้เหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วไป
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำนวนมากมักกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อในประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับเทรนด์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เมื่อไม่นานมานี้ เฟดได้ประกาศว่าจะเร่งการลดการซื้อพันธบัตรและจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้ ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจกับตลาดทุนอเมริกา
การดำเนินการในอนาคตของเฟดจะทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประสิทธิภาพของ ETF อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หัวหน้านักยุทธศาสตร์ตลาดหุ้นสหรัฐเตือนนักลงทุนว่าดัชนี S&P ดัชนีอื่นๆ จะมีมูลค่าลดลงโดยเฉลี่ย 6% ในช่วงสามเดือนหลังจากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก หุ้นสายเน้นมูลค่า สายวัฏจักร มีแนวโน้มจะเติบโตแซงหน้าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ภายในครึ่งปี หลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สำหรับความเสี่ยงเงินเฟ้อ นักลงทุนควรให้ความสนใจกับหุ้นบางตัว ที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์และการเงิน ผมเชื่อว่าหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสามารถช่วยให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมของนักลงทุนเอาชนะเงินเฟ้อได้ ปีที่แล้วกองทุน ETF ประเภทนี้มีผลงานที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน หากปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น นักลงทุนอาจพิจารณาซื้อ ETF ด้านอสังหาริมทรัพย์ด้วยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่มั่นคง นอกจากนี้ ความหลากหลายของหุ้นในสหรัฐฯ ยังช่วยตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดที่ซับซ้อน ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อพูดถึงการเลือก ETF ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็น ETF ของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลายคนเชื่อว่าแนวโน้มการเติบโตทางด้านพลังงานจะดำเนินต่อไปในปี 2022 หุ้นกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่ตึงตัว อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และความขัดแย้งทางทหารระหว่างรัสเซียและยูเครน ราคาน้ำมันยังคงเพิ่มขึ้น ฯลฯ
ETF ที่มีกำไรสูงสุดในปีที่แล้วคือ Breakwave Dry Bulk Shipping ETF ซึ่งอ้างอิงราคาตามดัชนี Baltic Dry Bulk Index (BDI) ที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 244% ในปีที่แล้ว ความตึงเครียดในห่วงโซ่อุปทานจะไม่คลี่คลายในระยะสั้น และการระบาดใหญ่ทั่วโลกยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนเรือขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์ที่มีอยู่ในโลกยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในปี 2022 ดังนั้น ผมจึงคาดว่าผลการดำเนินงานของ BDI ในปีนี้จะยังคงค่อนข้างดี และนักลงทุนควรให้ความสนใจ ETF ตัวนี้อย่างใกล้ชิด
นอกจาก ETF หุ้นกลุ่มพลังงานที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ETF หุ้นอื่นๆ ของสหรัฐฯ ที่ลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ธนาคาร และการขนส่งยังมีโอกาสเติบโตได้ดีในปีนี้อีกด้วย ดังนั้นนักลงทุนจึงมีทางเลือก ETF มากมาย เมื่อตลาดหุ้นเผชิญกับความไม่แน่นอน การเลือก ETF เพื่อป้องกันความเสี่ยงถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด การซื้อ ETF ที่มีเลเวอเรจสามารถช่วยปกป้องสินทรัพย์ที่มีอยู่ของคุณได้ แต่สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกับความเสี่ยงที่จำเป็นจะต้องศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน