สัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างหนักโดยสามารถกลับลงมามาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาเป็นเพราะนักลงทุนเกรงว่าเศรษฐกิจจะถดถอย จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก จนแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี สร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน และได้ทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดภาวะถดถอยอย่างที่เป็นกังวล
ประเด็นนี้ได้เพิ่มแรงกดดันต่อการเทขายน้ำมันตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงจากจุดสูงสุดครั้งก่อนที่ $100.82 ในเดือนกรกฎาคม ลงสู่จุดต่ำสุดใหม่ที่ 91.87 ดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม ในเซสชั่นเอเชียวันนี้ ราคาน้ำมันดิบปัจจุบันมีราคาซื้อขายอยู่ที่ 93.28 ดอลลาร์ ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันเบรนต์ก็ร่วงลงจากจุดสูงสุดที่ 106.03 ดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม ลงสู่จุดต่ำสุดใหม่ที่ 98.10 ดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม มีราคาอยู่ที่ 99.58 ดอลลาร์ในเซสชั่นเอเชียวันนี้
การประชุมคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อติดตามการดำเนินการของโอเปก (JMMC) เป็นเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และมีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันในปัจจุบัน นักลงทุนคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันจะเพิ่มขึ้นอีกจากการประชุมครั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณน้ำมันในระบบ ที่มีอยู่อย่างจำกัดจากการทำสงครามเศรษฐกิจของรัสเซีย อุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ณ จุดนี้จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันให้ปรับตัวลดลง เพราะนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเนื่องจากพบภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากการประชุม JMMC ที่จะจัดขึ้นในวันนี้แล้ว ยังมีการเปิดเผยข้อมูลรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังในวันนี้อีกด้วย รายงานตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังเป็นมาตรวัดการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำมันในคลังสำรอง ที่นับหน่วยเป็นบาร์เรล ซึ่งเก็บไว้สำหรับการใช้งานโดยบริษัทการค้า ตัวเลขดังกล่าวจะแสดงให้เห็นสินค้าคงคลังของบริษัท สินค้าคงคลังน้ำมันดิบมักจะถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวัดระดับซัพพลายและความต้องการน้ำมันในตลาดปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของซัพพลายนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความต้องการใช้น้ำมันว่าจะยังคงมีอยู่ ระดับปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่ลดลง แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกำลังเทขายสินทรัพย์ออกเพราะกลัวว่าอาจเกิดภาวะถดถอย ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบลดราคาลงได้อีก ตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ออกมาอยู่ที่ -4.5M การปรับตัวขึ้นของปริมาณน้ำมันจะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น แต่ถ้าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังลดลง จะยิ่งหนุนให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง
ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ-จีนเกี่ยวกับการเดินทางมาเยือนไต้หวันของนางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กำลังเป็นสาเหตุให้นักลงทุนซื้อน้ำมันมากขึ้น นักวิเคราะห์หลายคนกลัวว่าสหรัฐฯ จะคว่ำบาตรจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระดับความต้องการน้ำมัน
ผลการประชุม JMMC จะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบอย่างไร?
ในอดีต เป็นที่ทราบกันดีว่าผลการประชุม JMMC จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันอยู่แล้ว การตัดสินใจเพิ่มหรือลดปริมาณการผลิตน้ำมันล้วนมีผลต่อราคาน้ำมันโลกทั้งสิ้น การประชุม JMMC คือการประชุมที่มีผู้แทนจาก 13 ประเทศสมาชิกกลุ่ม OPEC และประเทศพันธมิตรผู้ผลิตน้ำมันอีก 11 ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มก่อตั้งเดิม ในระหว่างการประชุม คณะกรรมการจะหารือในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับระดับอุปสงค์และอุปทานน้ำมันทั่วโลก ทางกลุ่มจะตกลงกันว่าจะลดหรือเพิ่มการผลิตน้ำมันได้มากน้อยเพียงใดภายในไตรมาสหน้า และกำหนดเป้าหมายราคาน้ำมันเฉลี่ย
ดังนั้นการประชุม JMMC ในวันนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางการผลิตน้ำมันในช่วงที่เหลือของเดือนต่อไป ในตอนนี้นักลงทุนกำลังขายการถือครองน้ำมันเพื่อเป็นการป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอย มติการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันจากคณะกรรมการฯ ในวันนี้จะมีส่วนช่วยลดราคาน้ำมันลงอย่างมาก
โดยสรุปแล้ว
เราคาดว่าราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 จะยังคงลดลง จนกว่านักลงทุนจะคลายความกังวลว่าเราจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย นักลงทุนต้องการจะเห็นหลักฐานชัดเจนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งพอที่จะทนต่อภาวะถดถอยได้ นอกจากนี้ เราคาดว่าราคาน้ำมันที่จะลดลงอาจลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือสูงกว่าเล็กน้อยเพียงเล็กน้อย
ปัจจัยเดียวที่จะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งคือถ้าโอเปกตัดสินใจที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน การตัดสินใจเช่นนั้นจะทำให้ระดับอุปสงค์และอุปทานสมดุล และปูทางให้ราคาน้ำมันสามารถเพิ่มขึ้นอีกหากอุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน
