ในวันพุธที่จะถึงนี้ นักลงทุนจะจับตาอัตราการเติบโตรายเดือนของยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมอย่างใกล้ชิด พวกเขาคาดว่าจะออกมาอยู่ที่ 0.10% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขก่อนหน้าที่ 1% อยู่มาก ข้อมูลดังกล่าวเป็นแนวทางที่จำเป็นสำหรับการคาดการณ์อนาคตของเงินดอลลาร์สหรัฐ เข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงยอดขายปลีกของสหรัฐฯ และความสามารถทางเศรษฐกิจท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อ หากตัวเลขค้าปลีกออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ตลาดจะคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยลง และช่วยเพิ่มค่าให้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ หากไม่แล้ว ดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลง
นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกหลายรายในสัปดาห์นี้มีคิวประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2022 นักวิเคราะห์ยังคงให้ความสำคัญไปที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคและแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทเป็นหลัก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Walmart และ Home Depot ได้รายงานผลประกอบการไปแล้ว ซึ่งรายรับในไตรมาสที่สองของ Walmart ออกมาอยู่ที่ 152.86 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.4% YoY ซึ่งดีกว่าที่คาดไว้ แต่ก่อนหน้านี้ ทั้ง Walmart และ Target ได้ปรับลดตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสสองลงก่อนแล้ว Walmart คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ปรับแล้วทั้งปีจะลดลงประมาณ 11% -13% นอกจากนี้ ยังมีรายงานผลประกอบการของบริษัท Target และ Lowe’s ในไตรมาสที่ 2 อีกด้วย
การคาดการณ์กำไรที่ลดลงได้สะท้อนให้เห็นว่าเงินเฟ้อกำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคชาวอเมริกัน และผลกระทบที่มีต่ออุตสาหกรรมการขายปลีกอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกที่จะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่เพิ่มการใช้จ่ายด้านอาหาร ซึ่งทำให้การซื้อสินค้าและบริการอื่นๆ ลดลง ดังนั้น บริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในช่วงเวลานี้จึงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทาย ยกตัวอย่างเช่นความจำเป็นต้องเคลียร์สต๊อกสินค้า การเพิ่มส่วนลดและโปรโมชั่นยังส่งผลต่อกำไรที่ลดลง นอกจานี้ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงานเชื้อเพลิงและค่าขนส่ง และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานยังส่งผลกระทบในทางลบต่อรายได้จากการขายและกำไรขั้นต้น
แต่เพราะช่วงนี้ราคาน้ำมันได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ยอดขายปลีกอาจเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนเพราะรายได้ของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม YoY ได้ลดลงมาอยู่ที่ 8.5% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ 8.7% และตัวเลขก่อนหน้านี้ทั้ 9.1% อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวเกินความคาดหมายทำให้เกิดแรงหนุนขาขึ้นในตลาดหุ้น เมื่อราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง ทำให้ตลาดลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนไม่มาก ตามรายงานของ “Federal Reserve Watch” จาก CME ระบุว่าความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50 bps ในเดือนกันยายนคือ 61.5% และความน่าจะเป็นที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 bps นั้นอยู่ที่ 38.5%
ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากเกี่ยวกับทิศทางของดอลลาร์สหรัฐในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะผันผวนเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะทราบผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน เมื่อเร็วๆ นี้ คนในของเฟดหลายคนเพิ่งออกความคิดเห็นในเชิงที่ไม่ค่อยดีต่อเศรษฐกิจมากนัก พวกเชื่อว่าการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่จบ แม้ว่าคำพูดนี้จะหนุนดอลลาร์ แต่ทำให้เกิดความผันผวนด้วยในเวลาเดียวกัน อย่างที่เห็นได้ว่า ค่าเงินดอลลาร์ในตอนนี้กำลังพยายามปรับตัวขึ้นบ้าง คนในจากเฟดหลายคนส่วนใหญ่แสดงความมุ่งมั่นที่จะใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป “จนกว่าเราจะเห็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังชะลอตัว”
ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดยังสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นล่าสุดของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนในตลาดยังคงรอการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดครั้งล่าสุดในวันพฤหัสบดีนี้ นักลงทุนหวังว่าจะได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต หากรายงานการประชุมระบุว่าเฟดกำลังหารือถึงความเป็นไปได้ในการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง แต่หากทิศทางนโยบายของเฟดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังต้องการวางนโยบายการเงินแบบตึงตัวต่อไป ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสในการกลับตัวใหม่
สุดท้ายแล้ว ข้อมูลยอดขายปลีกยังคงเป็นตัวเลขสำคัญ ที่ผลักดันให้ดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์นี้แข็งค่า ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องพิจารณาผลกระทบต่อทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการคาดการณ์ของตลาดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต นอกจากนี้ นักลงทุนควรให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับรายงานผลประกอบการทางการเงินของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ ซึ่งอาจสร้างเทรนด์ใหม่ให้กับหุ้นกลุ่มค้าปลีกในเร็วๆ นี้ และส่งผลกระทบต่อแนวโน้มตลาดกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
