การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบยังไม่สามารถขึ้นผ่านระดับแนวต้าน $82.50 ต่อบาร์เรลได้
กราฟ USOIL รายวัน
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.50% จากจุดต่ำสุดล่าสุด ซึ่งฉุดให้น้ำมันร่วงลงมากกว่า 2% ในวันจันทร์ ขณะนี้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวอยู่ที่ 82.50 ดอลลาร์ ซึ่งมีความสำคัญต่อปรับตัวขึ้นต่อไปในอนาคต
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นหลังจากที่กลุ่ม OPEC+ ประกาศลดกำลังการผลิตที่จะมีผลในเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
สัญญาณการอ่อนตัวของอุปสงค์น้ำมันดีเซลทั่วโลกยังบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลลบต่อราคาน้ำมัน ตามข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมของจีน จำนวนรถบรรทุกที่วิ่งบนทางหลวงของจีนที่นับถึงสัปดาห์วันที่ 9 เมษายนลดลง -8% นอกจากนี้ ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลของสหรัฐฯ ในปีนี้ก็ถูกกำหนดให้อยู่ที่ระดับ -2% อ้างอิงข้อมูลจาก S&P Global นี่เป็นช่วงเวลาที่ความต้องการน้ำมันดีเซลของสหรัฐฯ ลดลงมากที่สุดในรอบ 7 ปีโดยไม่นับปีที่เกิดโควิด
การหยุดส่งออกน้ำมันดิบของอิรักอย่างต่อเนื่องจากท่าเรือ Ceyhan ของตุรกีกำลังเพิ่มความตึงเครียดให้กับอุปทานน้ำมันทั่วโลก รัฐบาลตุรกีต้องการเจรจายุติข้อตกลงมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ที่ได้รับคำสั่งให้จ่ายก่อนที่จะอนุญาตให้การส่งออกน้ำมันดิบจากอิรักกลับมาดำเนินการส่งผ่านทางท่อส่งน้ำมันได้อีกครั้ง อนึ่ง การส่งออกน้ำมัน 400,000 บาร์เรลต่อวันจากท่าเรือ Ceyhan ของตุรกีถูกระงับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม หลังจากอิรักชนะคดีอนุญาโตตุลาการจากสภาหอการค้านานาชาติ
คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ
OPEC+ ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันสุดเซอร์ไพรส์มากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าการลดกำลังการผลิตดังกล่าวเป็น “มาตรการป้องกัน” ในขณะที่การผลิตน้ำมันดิบในเดือนมีนาคมลดลง 80,000 บาร์เรลต่อวัน EIA ของสหรัฐฯ ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง 5 ปีล่าสุดสูงกว่าค่าเฉลี่ยตามฤดูกาล 2.8% ในขณะที่น้ำมันเบนซินในรอบ 5 ปีล่าสุดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตามฤดูกาล -6.9%
นักวิเคราะห์เชื่อกันว่า OPEC หยุดการผลิตน้ำมันหลังจากมีข่าวออกมาว่าสหรัฐฯ จะไม่เติมน้ำมันเข้าคลังสำรองในช่วงเวลาที่เหลือของปี