แม้ว่าจะมีความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้นักลงทุนหวังว่าจะได้เห็นทองคำสร้างจุดสูงสุดใหม่ แต่ในปีนี้ราคาทองคำก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ
กราฟราคาทองคำรายสัปดาห์
ในเดือนกันยายน ทองคำร่วงลงเหลือ $1,811 ดอลลาร์ แต่กลับพุ่งสูงขึ้นได้เพราะความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ราคาทองคำจะต้องทะลุระดับ $2,067 ดอลลาร์เพื่อปรับตัวขึ้นต่อ หากปรับตัวลดลงมา ราคาทองคำอาจลงไปได้ถึงระดับ $1,900 ดอลลาร์
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกันช่วยลดความกังวลจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดลงทุนมีความเคลื่อนไหวความเบาบางเนื่องจากเป็นสุดสัปดาห์วันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ นักลงทุนลดความคาดหวังว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2024 ลงหลังจากข้อมูลเมื่อวันพุธแสดงให้เห็นว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงมากกว่าที่คาดไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก แต่ตลาดงานยังคงแข็งแกร่ง
Goldman Sachs เป็นหนึ่งในธนาคารที่เห็นความแข็งแกร่งของราคาทองคำ “ราคาทองคำที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับอัตราดอกเบี้ยจริงของสหรัฐฯ และการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ แต่เรายังเชื่อว่าอุปสงค์ของผู้บริโภคจากจีนและอินเดียจะยังแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการซื้อทองคำของธนาคารกลางเพื่อชดเชยแรงกดดันขาลงจากการเติบโต และการปรับลดอัตราดอกเบี้ย”
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แบงก์ออฟอเมริกา (BofA) ยังกล่าวด้วยว่าทองคำน่าจะปรับตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2024 เนื่องจาก “การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะกดดันอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงให้ต่ำลง”
Liam Hunt จาก Gold IRA เน้นย้ำถึงภัยคุกคามเพราะความขัดแย้งระดับโลกว่า
“ความกลัวว่า “หากสงครามระดับภูมิภาคไม่สามารถควบคุมได้” อาจส่งผลกระทบต่อตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทาน กระตุ้นให้เงินทุนไหลเข้าสู่ทองคำ และหลุดพ้นจากสินทรัพย์เก็งกำไร เช่น หุ้นที่มีความเสี่ยงสูง
ทองคำอาจเปรับตัวขึ้นในช่วงสิ้นปี แต่การทดสอบที่ 2,067 ดอลลาร์นั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ภายในปี 2024 นักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดอัตราดอกเบี้ยและเรายังคงต้องรอดูกันต่อไป
นักลงทุนควรให้ความสำคัญไปที่สงครามยูเครนและอิสราเอลเพื่อหาเบาะแสการลงทุน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภาระหนี้และภาพทางการเงินของสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถมองข้ามได้เช่นกัน