แม้ว่าการอัปเกรดระบบของสกุลเงินดิจิทัลอีเทอเรียมจะผ่านไปได้ด้วยดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่สกุลเงินดิจิทัลอันดับที่สองของโลกคริปโตเคอเรนซี่อาจมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขาขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่ส่งคู่กราฟ ETH/USD ขึ้นไปยัง $1,800 ได้หมดกำลังลง และส่งราคาให้มุ่งหน้าลงสู่จุดต่ำสุดที่ $1,440
ก่อนหน้านี้ สาวกคริปโตฯ มีความคาดหวังที่สูงมากกับการอัพเกรดเทคโนโลยีระบบเบื้องหลังของ Ethereum แต่นั้นก็เป็นการเคลื่อนไหวตามคำพูดในวงการนักลงทุนที่ว่า “ซื้อตามข่าวลือ ขายตามข่าวจริง”
เมื่อวันที่ 5 กันยายน เราได้เขียนวิเคราะห์เอาไว้ในบล็อกว่า:
นักลงทุนควรจับตาดูความเคลื่อนไหวของราคาเหรียญ ETH รายวันอย่างระมัดระวัง เนื่องจาก ETH กำลังต้องการกลับขึ้นมาเหนือ $1,600 “ โดยมีแนวต้านที่ใหญ่กว่านั้นรออยู่ข้างหน้าที่ระดับ $1,750 หากไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านทั้งสอง ประกอบกับเทรด์ขาลงในตลาดคริปโตฯ ทั้งหมด อาจเปิดโอกาสให้ราคา ETH ได้ปรับตัวลดลงต่อ”
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น นักลงทุนในตลาดได้ประเมินความคาดหวังของพวกเขาใหม่อีกครั้งเมื่อทีมพัฒนา Ethereum กล่าวว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม ที่เรียกว่าค่า “ก๊าซ” ในบล็อคเชน
เครือข่ายอีเทอร์ได้เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้นแล้ว และถึงแม้จะเป็นผลดีในระยะยาว แต่ก็มีความหมายเพียงเล็กน้อยสำหรับขาขึ้นในระยะสั้น นักลงทุนสถาบันต่างหวาดกลัวต่อความผิดพลาดในตลาดสกุลเงินดิจิทัล อย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงฤดูร้อน เมื่อโครงการ Terra พังลงอย่างไม่เป็นท่า ในขณะที่นักลงทุนต่างก็ต้องต่อสู้กับตลาดหมีที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
Tim Beiko นักพัฒนาของมูลนิธิ Ethereum กล่าวว่า “The Merge สามารถดึงดูดผู้คนที่สนใจใน Ethereum ได้อย่างแท้จริง แต่ก็ยังคงไม่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นอนาคตของมนุษยชาติได้”
ในสัปดาห์นี้ การประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็จะมีส่วนกับการกำหนดอนาคตของ ETH/USD คู่กราฟจะถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ หรือยังจะมุ่งหน้าปรับตัวลดลงต่ออีก ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในวันพุธ แต่มีนักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าอาจจะได้เห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทีเดียว 1% การขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่ข่าวดีของสกุลเงินอีเทอเรียม
อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะทำให้เฟดจำเป็นต้องทำนโยบายการเงินเชิงรุกอีกครั้ง อนึ่ง ดัชนีราคาผู้บริโภคหรืออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่แล้วได้เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแม้จะต่ำกว่าตัวเลข 8.5% ในเดือนกรกฎาคม แต่ก็ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้