การเจรจานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี จู่ๆ ก็หยุดชะงักลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตัวแทนของสหภาพยุโรปประกาศเมื่อวันที่ 11 มีนาคมว่าการเจรจาทางอ้อมระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านเพื่อกลับไปสู่ ”ข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน” จะต้องถูกระงับเนื่องจากปัจจัยภายนอก ตัวแทนยุโรปเน้นว่าจะรักษาการสื่อสารกับทุกฝ่าย พร้อมทั้งยืนยันว่าขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจาถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว หัวหน้าทูตของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจากล่าวในวันเดียวกันว่าปัจจัยภายนอกที่ขัดขวางข้อตกลงจะต้องได้รับการแก้ไขในอีกไม่กี่วันข้างหน้า มิฉะนั้น การเจรจาอาจกลายเป็นโมฆะ
นับตั้งแต่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมันก็พุ่งสูงขึ้น หากอิหร่านและมหาอำนาจโลกบรรลุข้อตกลงได้เร็ว การคว่ำบาตรทางนิวเคลียร์ต่ออิหร่านก็จะถูกยกเลิก และน้ำมันดิบของอิหร่านจะกลับสู่ตลาดน้ำมันสากล ซึ่งจะมีส่วนช่วยควบคุมราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
จุดเปลี่ยนของการเจรจานิวเคลียร์อิหร่าน
ประวัติความเป็นมาของข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านเกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อประชาคมโลกตื่นตระหนกว่าอิหร่านอาจเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จนนำไปสู่การถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก หลังจากการเจรจาต่อเนื่องหลายรอบ ในเดือนกรกฎาคม 2015 อิหร่านสามารถบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และเยอรมนี แต่ในเดือนพฤษภาคม 2018 รัฐบาลสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านฝ่ายเดียว ถอยกลับไปสู่การเริ่มต้นการเจรจาใหม่อีกครั้ง และก็ยังเพิ่มการคว่ำบาตรต่ออิหร่านหลายครั้ง นั่นจึงทำให้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2019 อิหร่านได้ทยอยยกเลิกข้อตกลงบางประการของสนธิสัญญานิวเคลียร์ และกลับเข้าสู่เส้นทางการพัฒนานิวเคลียร์ของตนเอง
ภาคีที่เกี่ยวข้องในข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านได้จัดการเจรจา ณ กรุงเวียนนาในเดือนเมษายน 2021 เพื่อหารือเกี่ยวกับการเริ่มต้นการปฏิบัติตามข้อตกลงของอิหร่านอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การเจรจาถูกระงับไปถึงหกรอบเนื่องสหรัฐอเมริกาและอิหร่านมีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่าน การเจรจานิวเคลียร์ของอิหร่านเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2021 ที่กรุงเวียนนา และขณะนี้ทั้งสองฝ่ายใกล้จะบรรลุข้อตกลงใหม่แล้ว
ระยะเวลาของข้อตกลงที่เป็นไปได้ บังเอิญว่าเกิดใกล้เคียงกันกับสงครามรัสเซีย – ยูเครน รัสเซียเรียกร้องการรับรองจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องในทันทีว่ามาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก ที่มีต่อเศรษฐกิจรัสเซียอันเนื่องมาจากสงครามยูเครนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างรัสเซียและอิหร่าน คำขอของรัสเซียทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการเจรจา ทำให้ตัวแทนสหภาพยุโรปต้องประกาศระงับการเจรจา
รายงานจาก Wall Street Journal ระบุสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะเจรจายกเว้นการคว่ำบาตรต่อรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับสงครามยูเครน เพื่อรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในปี 2015 และอาจพยายามบรรลุข้อตกลงแยก ที่ไม่รวมรัสเซียอีกด้วย
ราคาน้ำมันยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้
ในวันที่ 14 มีนาคม สัญญาซื้อขายน้ำมันเบรนต์ลอนดอนล่วงหน้ามีราคาปิดที่ 109.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 5.1% ในขณะที่ราคาซื้อขายน้ำมันดิบฟิวเจอร์สที่นิวยอร์ดมีราคาปิดที่ 103.01 ดอลลาร์ ลดลง 5.8% สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ลดลงจากระดับสูงสุดล่าสุดที่ 139.13 ดอลลาร์หลังจากที่ตลาดซึมซับผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครนต่ออุปทานน้ำมันดิบโลก อย่างไรก็ตาม การระงับข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างกะทันหันได้เพิ่มตัวแปรใหม่ให้กับราคาน้ำมันในอนาคต หากไม่บรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายก็อาจทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นได้
ในช่วงที่ผ่านมา สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบเบรนต์ในลอนดอนล่วงหน้าสามารถขึ้นยืนเหนือระดับราคา 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้หลายครั้ง เทรนด์ขาขึ้นได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่พุ่งสูงขึ้นและการลดลงของปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง เนื่องจากความต้องการน้ำมันดิบภายในสหรัฐอเมริกาที่แข็งแกร่ง สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ ที่นับถึงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 มีนาคม มีราคาอยู่ที่ 411.562 ล้านบาร์เรล ลดลง 1.86 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อนหน้า คิดเป็นการลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
การไม่สามารถจัดหาน้ำมันดิบทั่วโลกให้ทันกับความต้องการของตลาดได้กลายเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเริ่มมองหาน้ำมันในทุกที่ที่มีความเป็นไปได้ รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งใจที่จะนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาและซาอุดีอาระเบีย แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เป็นไปในกระแสตอบรับที่ดีมากนัก นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าแนวคิดในการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านมีแนวโน้มว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าหากยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ได้
ในตอนนี้ ตลาดน้ำมันดิบกำลังจับตาดูการคว่ำบาตรด้านพลังงาน ที่สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรบังคับใช้กับรัสเซียอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะสร้างผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุปทานน้ำมันดิบในอนาคต หากอุปทานของรัสเซียในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกลุ่ม OPEC ขยายระยะเวลาการลดการผลิตในปีนี้ ราคาน้ำมันมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวสูงขึ้น นักวิเคราะห์เชื่อว่าประเทศในกลุ่ม OPEC จะยังคงยึดมั่นในแผนเพิ่มการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะมีปัญหาการขาดแคลนอุปทานน้ำมันดิบ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นอีกครั้ง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Goldman Sachs ปรับเพิ่มการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในกรอบเวลา 1 เดือนขึ้นเป็น 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิมที่เคยประเมินไว้ 95 ดอลลาร์ พวกเขาเชื่อว่าราคาน้ำมันอาจแตะระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในอีกสามเดือนข้างหน้า หากน้ำมันดิบของรัสเซียยังคง “ถูกกีดกันจากทั่วโลก” อย่างไรก็ตาม หัวหน้าฝ่ายวิจัยพลังงานของโกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า “ยังมีปัจจัยสนับสนุนขาขึ้นให้กับราคาน้ำมันมากมาย” เป็นไปได้ว่าการทำลายความต้องการที่เป็นกลไกธรรมชาติทางเศรษฐศาสตร์อาจเริ่มต้นเมื่อราคาน้ำมันสามารถขึ้นแตะระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล