ช่วงเวลาแห่งการรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนในสหรัฐอเมริกานั้นยังไม่สิ้นสุด และบริษัทที่มีคิวรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ และถือว่ามีความนน่าสนใจก็คือบริษัทผู้ขายสินค้าและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านโฮม ดีโป (Home Depot (HD)) ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ก่อนตลาดหลักทรัพย์อเมริกาเปิด นักวิเคราะห์เชื่อว่าเราจะได้เห็นข้อสรุปของขาขึ้นในราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน
กราฟหุ้นโฮมดีโปรายวัน
นักลงทุนสามารถเห็นได้ว่าระดับ $333 เป็นเป้าหมายที่ราคาหุ้นสามารถวิ่งขึ้นไปถึง นักลงทุนสามารถใช้ระดับราคาดังกล่าวเป็นจุดตั้งเป้าสำหรับการเบรกเอ้าท์ของราคาในการปรับตัวขึ้นในอนาคต
นักวิเคราะห์เชื่อว่าตัวเลขสำหรับรายงานผลประกอบการไตรมาสสามตามปีงบการเงินของบริษัทโฮมดีโปจะออกมาอยู่ที่ประมาณ 4.11 ดอลลาร์ต่อหุ้น คิดเป็นการเติบโต 4.9% จากตัวเลขรายงานของปีที่แล้ว
รายรับรายไตรมาสของบริษัทโฮมดีโปคาดว่าจะออกมาอยู่ที่ 37.9 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นการเติบโต 3% จากไตรมาสก่อนหน้า เราคาดว่ารายรับรวมในไตรมาสที่สามของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 2.7% YoY หรือคิดเป็น 37,823.8 ล้านดอลลาร์ โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4.9% เป็น 4.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ในไตรมาสก่อนหน้านี้ โฮมดีโปสามารถทำรายได้เซอร์ไพรส์เพิ่มขึ้น 2% โดยเฉลี่ยแล้ว บริษัทโฮมดีโปมีรายได้ที่เติบโตได้อย่างน่าประหลาดใจ 7.2% ในช่วงสี่ไตรมาสที่ผ่านมา
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สามของโฮมดีโปมีแนวโน้มที่จะได้รับอานิสงส์จากความต้องการสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้านที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้สภาวะเงินเฟ้อ แต่ตลาดที่อยู่อาศัยและการลงทุนกลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
โฮมดีโปได้เห็นผู้สร้างบ้ามียอดซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากการเปรียบเทียบยอดขายของแต่ละสาขา สำหรับไตรมาสที่สามของปีงบการเงิน ตลาดลงทุนคาดว่าจะเติบโต 6.1% โดยเฉลี่ย ซึ่งตัวเลขนี้คิดโดยชดเชยด้วยยอดค่าใช้จ่ายของลูกค้าที่ลดลง 2.5%
HD ยังคาดว่าจะได้เห็นการเติบโตในประเภทลูกค้ามืออาชีพ ประเภท DIY และการซื้อสินค้าผ่านระบบดิจิทัลในไตรมาสที่สามของปีงบการเงิน
Home Depot ได้รับประโยชน์มากมายจากแคมเปญ “One Home Depot” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การขยายห่วงโซ่ซัพพลาย การลงทุนด้านเทคโนโลยี และการปรับปรุงด้านการบริการผ่านระบบดิจิทัล กลยุทธ์ที่เน้นไปยังภาคการค้าปลีกและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางดิจิทัลในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจเห็นแรงกดดันด้านต้นทุนในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามของปี 2022 ซึ่งเป็นเหตุผลมาจากปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานที่ยังมีอยู่ การใช้จ่ายของผู้บริโภค ค่าขนส่งที่สูงขึ้นคาดว่าจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าขายสูงขึ้นในไตรมาสที่สามด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง นักวิเคราะห์คาดว่าจะได้เห็นอัตรากำไรขั้นต้นหดตัว 20 bps เป็น 33.9% ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทที่พึ่งจะดำเนินการไปก็คาดว่าจะกระทบต่อกำไรขั้นต้นด้วยเช่นกัน