ข่าวดีของการประกาศลดมาตการคุมเข้มโควิดจากประเทศจีนสร้างความผันผวนให้กับดัชนีดาวโจนส์ในวันอังคารไม่น้อย ในช่วงเปิดตลาดนั้นดัชนีดาวโจนส์สามารถปรับตัวขึ้นได้ 0.75% ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมา ปิดตลาดได้เพียง +0.25% เท่านั้น
กราฟหุ้นดาวโจนส์ 4 ชั่วโมง
จากกราฟ 4 ชั่วโมง ดัชนี US30 ยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือระดับ 33,400 จุด และมีโอกาสวิ่งขึ้นต่อในอนาคต เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 สนับสนุนความเป็นไปได้ที่ราคาจะเคลื่อนตัวขึ้นต่อไป
เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าจีนจะยกเลิกข้อกำหนดการกักกันสำหรับผู้เดินทางตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมเป็นต้นไป นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากนโยบายซีโร่โควิดของประเทศ หลังจากปิดพรมแดนเกือบสามปี รัฐบาลจีนจะเปิดประเทศอีกครั้งสำหรับผู้ที่มีวีซ่าทำงาน วีซ่านักเรียนหรือต้องการเยี่ยมครอบครัว การเดินทางไปต่างประเทศของชาวจีนจะสามารถเป้นไปได้มากขึ้น และประชาชนจีนก็รีบจองตั๋วสำหรับการเดินทางแล้ว
ข่าวดีของจากแดนมังกรนี้ส่งผลดีต่อตลาดการเงิน แม้ว่าจะยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศอยู่ก็ตาม ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นตามความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน แนวโน้ม GDP ของจีนน่าจะดีขึ้น และช่วยยกระดับความคาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อภูมิภาคเอเชีย เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติประกาศว่าโควิดจะถูกลดระดับเป็นโรคติดเชื้อคลาส B อย่างเป็นทางการ
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกที่สูงขึ้น หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ขึ้นมาวิ่งอยู่ที่ 3.858% ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมันอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 ปีที่ 2.534% หุ้นของบริษัทผู้ให้บริการคาสิโนของสหรัฐฯ และมาเก๊าปรับตัวขึ้นจากข่าวดีที่มาจากจีน หุ้นเหมืองแร่ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยราคาทองแดงสามารถพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ เพราะเชื่อว่าความต้องการโลหะในภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้น
ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในวันอังคารส่วนใหญ่เป็นขาลงสำหรับตลาดหุ้น ตัวเลขสินค้าคงคลังของสหรัฐฯแสดงให้เห็นว่าสินค้าคงคลังขายส่งในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 1.0% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ +0.3% นอกจากนี้ สินค้าคงคลังค้าปลีกในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์ 0.1% ทุกเดือน ซึ่งเหนือความคาดหมายสำหรับการลดลง -0.1% แนวโน้มการผลิตของจากเฟดสาขาดัลลัสในเดือนธันวาคมอ่อนแอลง โดยลดลงจาก -4.4 เป็น -18.8 ซึ่งอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น -13.5
นักลงทุนอาจต้องรอจนถึงปีใหม่ก่อนที่จะเห็นแนวโน้มที่แท้จริงในไตรมาสที่ 1 ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้นกว่าในสัปดาห์นี้