การปรับตัวขึ้นของดัชนีฮั่งเส็งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนมีความหวังกับการลงทุนตลอดทั้งสัปดาห์นี้
กราฟดัชนีฮั่งเส็งในกราฟรายสัปดาห์
ดัชนีฮั่งเส็งมีราคาปิดที่ 17,426. ระดับ 16,842 เป็นแนวรับที่ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และอาจสนับสนุนการดันขึ้นไปยังระดับราคา 19,000 หรือ 20,000 อีกครั้ง การปรับตัวลงต่ำกว่าระดับราคาดังกล่าวอาจนำไปสู่การทดสอบจุดต่ำสุดอีกครั้ง
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทช่วยหนุนตลาดหุ้นเอเชียในวันจันทร์ และการปรับลดอันดับหนี้สหรัฐฯ ของมูดี้ส์ในวันศุกร์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะกระตุ้นการลงทุนในตลาดเอเชีย หน่วยงานจัดอันดับเครดิตปรับลดอันดับประเทศอเมริกาจาก AAA เป็น AA+ โดยอ้างถึงเรื่องเพดานหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ นับเป็นการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งที่สามแม้ว่าจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกของปีนี้ หลังจากนั้น Fitch และ Standard and Poor’s ทำเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าทำเนียบขาวไม่เห็นด้วยกับความเคลื่อนไหวดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีการประมูลสุขภาพของการคลังว่าอ่อนแอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สาเหตุนั้นเป็นเพราะความกลัวเรื่องอุปทานที่จะกระทบตลาด
“…สภาพคล่องในคลังสหรัฐฯ ถดถอยลงอย่างมาก การวัดสภาพคล่องของตลาดการเงินจาก Bloomberg โดยพิจารณาจากความคลาดเคลื่อนอย่างต่อระบุว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในตอนนี้นั้นอยู่ในระดับที่รุนแรง” นักวิเคราะห์ของ ING กล่าว
แต่เศรษฐกิจของจีนก็อ่อนแอเช่นกัน พวกเขากลับเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเมื่อเดือนที่แล้ว เศรษฐกิจจีนถูกลากลงเเพราะราคาเนื้อหมูที่ลดลง ผู้กำหนดนโยบายพยายามดิ้นรนเพื่อฟื้นอุปสงค์ในประเทศ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุในวันพฤหัสบดีว่า เมื่อเทียบเป็นรายปี ดัชนีราคาผู้บริโภคลดลง 0.2% ในเดือนตุลาคม เทียบกับที่นักวิเคราะห์ของรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 0.1% ตัวเลข CPI ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนกันยายน
จีนพยายามดิ้นรนเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้กลับมา ตัวเลขข้อมูลทางเศรษฐกิจแสดงให้เห็นว่าการลงทุนโดยตรงที่ไหลออกนอกประเทศมากกว่าที่เข้ามา บริษัทต่างๆ อาจกระจายห่วงโซ่อุปทานของตนเพื่อลดความเสี่ยง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศลดลง 11.8 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ถือเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เริ่มบันทึกมาในปี 1998
ฮ่องกงปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีลง บ่งชี้ถึงสภาพแวดล้อมมหภาคที่ท้าทาย การปรับตัวเลขดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ฮ่องกงรายงานการเติบโตของ GDP ในไตรมาสสามที่อ่อนแอกว่าคาด โดยเน้นถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจแม้จะมีการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้ก็ตาม